|
ผาวิ่งชู้
ผาวิ่งชู้ผาวิ่งชู้ เป็นผาหินทรายขนาดใหญ่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำปิง และมีเสาดินขนาดเรียวเล็กรูปทรงสวยงาม เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เกิดจากการเคลื่อนตัวของเปลือกโลกซึ่งเป็นไปอย่างไม่ต่อเนื่องปรากฏเป็นชั้นหินที่มีอายุแตกต่างกันมากกว่าสิบล้านปี และมีการกัดเซาะโดยลม ฝน น้ำ ทำให้ตะกอนที่จับตัวเป็นหินหลุดแยกออกจากกันไปตามวันเวลา และแฝงไปด้วยตำนานแห่งความรักของหญิงชายต่างฐานันดรซึ่งพร้อมใจกันกระโดดหน้าผาอันสูงชันเพื่อจบชีวิตสู่แม่น้ำปิงเบื้องล่าง เรื่องเล่าตำนาน ผาวิ่งชู้ อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ ในตำนานพิสดารนคร ยังได้กล่าวถึง ผาวิ่งชู้ (ปัจจุบัน ตั้งอยู่ที่บ้านดงดำ ตำบลฮอด อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ และกลายเป็นจุดชมวิวที่งดงามแห่งหนึ่งของอำเภอฮอด) โดยในตำนานพิสดารนคร ตอนหนึ่ง ระบุไว้ว่า พระนางจามเทวีเมื่อสร้างเมืองพิสดารนครแล้ว ได้มอบหมายให้พระยาแสนโทปกครองเมืองพิสดารนคร(ฮอด)ต่อ พระยาแสนโทมีบุตรหญิง 1 คนชื่อพระนางแอ่นฟ้า และมีบุตรชาย 1 คน ชื่อพระนาย ต่อมาพระนางแอ่นฟ้าเกิดรักใคร่กับลูกของเสนาผู้หนึ่ง ชื่อน้อยสิงห์คำ ปัญหารักที่ต่าง ฐานันดร ข่าวทราบถึงพญาแสนโทจึงเรียกทั้งสองไปว่ากล่าวตักเตือนหากฝ่าฝืนกฎมณเฑียรบาลมีโทษถึงประหารชีวิต แต่ด้วยรักแท้ที่ทั้งสองมีต่อกันพระนางแอ่นฟ้ากับน้อยสิงห์คำจึงได้พากันหนีออกจากเมืองในเวลากลางดึกสงัด โดยทั้งสองได้ขี่ม้าสีขาวมุ่งออกจากเมืองพิสดารนคร โดยทันทีฝ่ายพระนายผู้น้องเห็นผิดสังเกตจึงเข้าไปดูยังห้องบรรทมของพระนาง แต่ไม่พบจึงนำความเข้าไปกราบทูลบิดา พระยาแสนโททรงกริ้วมากเรียกเสนาอำมาตย์และทหารออกติดตามตลอดทั้งคืนพร้อมด้วยพระนายและรับสั่งว่าถ้าพบทั้งสองให้ลงโทษประหารชีวิตเสียทันที เสียงฝีเท้าม้ากระทบแผ่นดินสะเทือนเลือนลั่น กระชั้นชิดเข้าใกล้ ขณะนั้นพระนางแอ่นฟ้าและน้อยสิงห์คำเห็นจวนตัวจึงปรึกษากัน ณ ริมป่าชายทางว่าอยู่ก็ตายไปก็ตาย เราจะกระโดดหน้าผาอันสูงชันนี้ตายด้วยกันทั้งสองคน เห็นควรแล้วจึงเอาผ้าขาวผูกตาม้าเพราะไม่อยากให้เห็นหน้าผาที่สูงลิ่ว พระนางแอ่นฟ้าเห็นว่า น้อยสิงห์คำไม่กล้าบังคับม้าให้กระโดดหน้าผา จึงเปลี่ยนเป็นผู้ขี่ม้าน้อยสิงห์คำนั่งซ้อนท้ายแล้วให้เฆี่ยนม้าอย่างแรงด้วยความเจ็บและตกใจม้าจึงวิ่งออกไปอย่างรวดเร็วกระโดดลงหน้าผาที่สูงชันกว่าห้าสิบเมตรร่างทั้งสองและม้าลอยละลิ่วตกลงเบื้องล่างสู่ ห้วงน้ำแม่ระมิงค์จมไปกับกระแสน้ำหน้าผาแห่งนี้จึงเรียกว่า ‘ผาวิ่งชู้’ ร่างของน้อยสิงห์คำลอยไปติดท่าน้ำห่างออกไปสองกิโลเมตรจึงเรียกที่นั้นว่า ‘บ้านน้อย’ ร่างของพระนางแอ่นฟ้าลอยไปติด ท่าน้ำแห่งหนึ่ง ต่อมาเรียกว่า ‘บ้านแอ่น’ ส่วนผ้าขาวที่ปิดตาม้าจมอยู่ทางทิศเหนือจึงเรียกจุดนั้นว่า ‘วังผ้าขาว’ ร่างของม้าลอยไปติดอีกไม่ไกลนักทางทิศใต้เรียกกันว่า ‘ท่าม้า’ ส่วนขบวนติดตามของพระนายและทหารติดตามถึงหน้าผาเห็นรอยม้ากระโดดลงหน้าผาจึงถอยม้าหยุดนิ่ง ต่างรู้สึกเสียใจและอาลัยอาวรณ์อย่างยิ่งนัก จนทำให้พระนายผู้น้อง เสียใจตรอมใจจนขาดใจตายข้างลำห้วยที่ติดอยู่กับหน้าผาแห่งนั้น ที่ตรงนั้นจึงเรียกว่า ‘ห้วยพระนาย’ นับแต่นั้นมา พ่อแม่ฝ่ายหญิงก็เสียใจ มาทำบุญให้โดยทิ้งของทำบุญลงน้ำ ของต่าง ๆ ก็ลอยไปติดตามที่ต่าง ๆ เกิดเป็นชื่อหมู่บ้านขึ้นอีก เช่น ข้าวแต๋น กลายเป็น บ้านผาแตน หม้อ กลายเป็นวังหม้อ สลุง กลายเป็นวังสลุง หรือวังลุง เป็นต้น ตั้งอยู่ที่บ้านดงดำ ตำบลฮอด ใช้เส้นทาง ฮอด-นาลุง ซึ่งจะผ่านบ้านฮอดหลวง แยกซ้ายข้ามสะพานถึงบ้านดงดำ ไปอีก 1 กิโลเมตร จะมีทางแยกซ้ายตรงเข้าสู่จุดชมวิวผาวิ่งชู้ด้านที่เป็นรอยเลื่อน หรือใช้เส้นทาง ฮอด-ดอยเต่า หมายเลข 1103 ไปประมาณ 15 กิโลเมตร ผ่านกิโลเมตรที่ 53 จะมีทางแยกขวาไปบ้านดงดำ 3 กิโลเมตร จากนั้นเลี้ยวขวาเข้าถนนกรวดไปอีกประมาณ 1 กิโลเมตร จะถึงจุดชมวิวบนสันของหน้าผา ผาวิ่งชู้ 23 มิถุนายน 2563
|